น้ำยาปรับผ้านุ่ม
ในแต่ละวันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแต่ละครอบครัว มีปริมาณการใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เครื่องนอนมากมายหลายชิ้น และในแต่ละขั้นตอนการซักผ้านั้นจะขาดขั้นตอนการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มไปได้อย่างไร เพราะการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มทำให้เราสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล หอมสดชื่น น่าใช้ แต่สำหรับบางคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ต้องการน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ อ่อนโยน ปลอดภัย เราขอแนะนำผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่มจากธรรมชาติ พิพเพอร์ สแตนดาร์ด สูตรออร์แกนิคอโลเวร่า ผลิตจากเอนไซม์สับปะรด และเลซิตินจากถั่วเหลือง มีประสิทธิภาพช่วยให้ผ้านุ่มแบบเป็นธรรมชาติ เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งเดียวในท้องตลาดที่ปราศจากสารควอท ซึ่งอาจเป็นสารกระตุ้นภูมิแพ้ (Allergen) ซึ่งพบในน้ำยาปรับผ้านุ่มทั่วไป
ปราศจากการใช้สารก่อภูมิแพ้ตามมาตรฐานทรูเทสต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และผ่านการทดสอบการแพ้และการระคายเคือง รับรองโดยแพทย์ผิวหนัง กลิ่นหอมสดชื่นด้วยน้ำหอมสูตรไฮโปอัลเลอร์เจนิก และยังลดการเกิดไฟฟ้าสถิต ทำให้ผ้ารีดง่ายอีกด้วย ใช้ได้ทั้งเสื้อผ้าเด็กและผู้ใหญ่
เทผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่ม ปริมาณ 30 มล. ลงไปในน้ำสุดท้ายของการซัก (10 ลิตร) แช่ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วบิดขึ้นตาก
สำหรับการซักเครื่อง (ทั้งฝาหน้าและฝาบน)
เทผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ปริมาณ 30 มล. ลงในช่องน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือในน้ำสุดท้ายของการซัก
สำหรับการซักมือ
การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัส (Contact dermatitis) ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย (Sensitive skin) หรือเด็กเล็ก ในน้ำยาปรับผ้านุ่มทั่วไปประกอบด้วย สารควอทหรือสารที่ทำให้ผ้านุ่มฟู (Quaternary ammonium compounds) น้ำหอมสังเคราะห์ และวัตถุกันเสียหรือสารฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งอาจเป็นสารระคายเคืองหรือสารที่กระตุ้นภูมิแพ้ได้
อาการผื่นแพ้เสื้อผ้าหรืออาการแพ้น้ำยาปรับผ้านุ่ม อาจจะเกิดขึ้นเพียงแค่ในไม่กี่ชั่วโมงหลังสัมผัสเสื้อผ้า แล้วจึงจางหายไปก็ได้ หรืออาจจะมีอาการหลังจากผ่านไปแล้ว 2 -3 วันก็ได้เช่นกัน โดยลักษณะอาการที่เกิดขึ้นตามผิวหนัง มักจะมีอาการดังนี้
และนอกจากการเป็นผื่นแพ้ขึ้นแล้ว อาจจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ทั้งอาการคัน อาการบวมแดง รวมทั้งความอับชื้น หมักหมมของเหงื่อ แบคทีเรีย ทำให้เกิดการอุดตันของสิ่งสกปรกนำมาซึ่งปัญหาสิวอุดตัน สิวผด อีกด้วย